Thursday, March 23, 2006

Banteay Srei : Small but So beautiful





ปราสาทบันทายสรี เป็นเทวสถานขนาดเล็ก แต่มีความงามทางด้านลวดลายเป็นเลิศ ศิลปะมีลักษณะพิเศษจนต้องจัดให้อยู่ในยุคราว พ.ศ.๑๕๑๐ ถึง พ.ศ. ๑๕๕๐
การก่อสร้างใช้หินทรายสีชมพู เนื้อละเอียด การสลักลวดลายจึงดูอ่อนช้อย มีความคมชัดลึก มองดูเหมือนมีชีวิต ปราสาทแห่งนี้แม้จะเล็ก แต่สวยงามน่าประทับใจที่ได้เห็นเพราะเป็นปราสาทที่สวยที่สุดประดุจ"เพชรล้ำค่า"

Banteay Srei is a small religious place but has excellent beauty value of motifs, the art of which is so unique that it needs to be made particularly grouped as Banteay Srei Style. This temple was made of fine pink sandstone, making the carvings clear and lively.
Thought small, this temple impresses the viewers as it is as beautiful as "Precious Diamond".

Phnom Kulen, Thousand of Shiva Lingams






The first floor of Phnom Kulen Waterfall

A thousand of Lingas under the water are in good condition despite being against the current for a thousand years.

ต้นน้ำเสียมเรียบบนยอดเขาพนมกุเลนที่ใต้ธารเป็นหินทอดยาวหลายร้อยเมตร สายน้ำไหลผ่านศิวลึงค์นี้ลงสู่ที่รบเบื้องล่างจึงกลายเป็นสายน้ำศักดิ์แต่นั้นมา
The source of Siem Reap River on Phnom Kulen Peak, under which is a sanstone stretches as long as hundreds of meters with water not so deep. Once the carving of Siva Linga and Visnu stated, the ancient Khmers showed their genius in constructing, the water was changed to flow back the same course through the linga to the plan down below becoming a secred river ever since.

Prasat Ta Promh, Angkor Thom area.


Prasat Dhammanon, Angkor Thom Victory Gate


Prasat Ka Keo, Angkor Thom area

Prasat PimanAkas, Angkor Thom

พระราชวังจตุมุขมงคล( Chatumukmongkol Palace)





พระราชวัง "จตุมุขมงคล" กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
การมาเที่ยวประเทศกัมพูชาของนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจในปัจจุบันก็จะรู้จักแค่ 2 เมือง คือเมืองหลวงพนมเปนกับเมืองเสียมเรียบ หรือเมืองเสียมราษฎร์ ในภาษาไทย เมืองที่ชาวโลกรู้จักเพราะมีมหาปราสาทนครวัด-นครธม
การมาพนมเปนในครั้งนี้ก็ไม่มีข้อมูลจำเพาะว่าจะไปชมอะไรบ้างหรือมีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ แต่พอมาถึงแล้วโดยที่เจ้าของถิ่นเป็นคนแนะนำสิ่งที่สำคัญและเชิดหน้าชูตาของชาวเขมรมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้ว หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Silver Pagoda กรุงพนมเปนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงที่เรียกว่าจตุมุข เพราะมีแม่น้ำสามสายใหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำโขง แม่น้ำต้นทะเลสาบ และแม่น้ำบาสสัก (Bussac) และแยกสาขาเป็นเหมือนแขน 4 แขน หรือพรหม 4 หน้า ในเมืองพนมเปนนี้จึงเป็นศูนย์รวมของสถานที่ทางโบราณสถาน พระบรมมหาราชวัง พิพิธภัณฑ์ ตลอดถึงสถานที่ราชการ รวมทั้งเป็นแหล่งธุรกิจและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเพราะมีสนามบินนานาชาติด้วย ส่วนที่พักก็มีตั้งแต่โรงแรมระดับ 5 ดาวไปจนถึงห้องพักชั่วคราว (guest house) ราคาถูก ๆ ที่กินที่เที่ยวก็มีร้านอาหารนานาชาติมากมายโดยเฉพาะบนถนนสีสวาท ถือว่าเป็นถนนสายหลักหน้าเมืองเลียบฝั่งแม่น้ำโขง (the riverfront Road) จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและนักท่องเที่ยวอย่างหนาแน่นทุก ๆ วัน
พระบรมมหาราชวังจตุมุขมงคล ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ 500 เมตร ก็จะเดินถึงกำแพงพระราชวังซึ่งตั้งชื่อตามสถานที่ของแม่น้ำที่ไหลมารวมกันตรงนี้เรียกว่า “จตุมุข” เป็นที่ตั้งเมืองหลวงใกล้แม่น้ำสำคัญเพราะง่ายต่อการสัญจรไปมาติดต่อสัมพันธ์ในการค้าขายและประชากรได้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร และการยังชีพเพราะฉะนั้นสายน้ำจึงเหมือนสายโลหิตของประชากร
พระราชวังหลวงตั้งอยู่บนถนน Sothearos Blvd. สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1866 ในสมัยกษัตริย์นโรดม เมื่อมองจากด้านนอกกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรจะเห็นยอดปราสาทราชมณเฑียรต่าง ๆ สูงเสียดฟ้า บางยอดก็จะเป็นรูปพระพรหมสี่หน้า บนยอดมหามณเฑียร ศิลปะและสถาปัตยกรรมก็ไม่ต่างจากของประเทศไทยมากนักเป็นศิลปะร่วมสมัยกรุงรัตน์โกสินทร์ของไทย ภายในกำแพงมหาราชวัง มีมหาปราสาท ราชมณเฑียรหลายหลัง เช่น
มหาปราสาทเทวีวินิฉัย เป็นที่ตั้งพระราชอาสน์เป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษก หรือสถาปนาพระราชวงศ์
ปราสาทเขมรินทร์ เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
ปราสาทสำราญภิรมย์ เป็นที่พระมหากษัตริย์ทรงช้างต้นเลียบพระนครหรือในพิธีสำคัญ ๆ
หอพระขรรค์ เป็นที่เก็บศัตราวุธ เครื่องกกุธภัณฑ์ และอุปกรณ์เครื่องใช้ในพิธีต่าง ๆ
พระที่นั่งมไหสวรรค์ เป็นโรงละครใน และที่หน้าพระที่นั่งนี้จะเป็นที่ออกพบข้าราชบริพารและประชาชนในโอกาสสำคัญ ๆ
ธรรมเนียมการสร้างวัดไว้ในวังของประเทศเขมรก็ไม่ต่างจากประเทศไทย ซึ่งไทยก็ถือธรรมเนียมนี้มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อสร้างวังแล้วต้องมีวัดในพระราชวังไว้เพื่อประกอบพิธีและให้พระมหากษัตริย์ได้ประกอบพิธีบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตามหลักของพุทธศาสนา ภายในวังจตุมุขมงคลก็มีวัดเหมือนกันคือวัดพระแก้วมรกต (The Silver Pagoda) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเมื่อก่อนเรียกว่าวัดอุโบสถรัตนารามเป็นที่พระมหากษัตริย์ทรงสวดมนต์ภาวนาหรือจำศีลอุโบสถในวันพระ และประกอบพิธีสำคัญในทางพระพุทธศาสนาแก่ข้าราชการ
วัดพระแก้วมรกตนี้จะไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาประจำนอกจากตอนที่เจ้านโรดมสีหนุได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1947 พระองค์ได้ประทับที่วัดพระแก้วนี้จนลาผนวช ปัจจุบันก็คงเรียกชื่อว่าพระวิหารพระแก้ว(เพราะไม่มีพระจำพรรษาจึงไม่เรียกวัด) นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุก ๆ วัน
พระวิหารพระแก้วมรกตสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1892-1902 ในสมัยพระเจ้านโรดม ซึ่งสร้างด้วยอิฐและไม้ตามแบบของศิลปะ สถาปัตยกรรมเขมร ต่อมาหอพระแก้วได้รับความเสียหาย จึงได้สร้างขึ้นใหม่โดยพระราชมารดาของเจ้านโรดมสีหนุ ซึ่งขณะนั้นเป็นพระมหากษัตริย์หนุ่มปกครองประเทศใหม่ ๆ การก่อสร้างได้เริ่มในปี ค.ศ.1962 ในรูปแบบ และสถาปัตยกรรมแบบเดิม แต่ได้สั่งให้ช่างตีแผ่นเงินน้ำหนักแผ่นละ 1.125 กิโลกรัม ปูพื้นอุโบสถทั้งหมดจำนวน 5,392 แผ่น วิหารพระแก้วมรกตจึงได้นามใหม่ว่า Silver Pagoda (วิหารเงิน) ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โบราณวัตถุล้ำค้าที่ใส่ไว้ในตู้กระจกให้นักท่องเที่ยวได้ชมในปัจจุบันนี้มีจำนวน 1,650 ชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดต่าง ๆ พระพุทธรูปเงิน พระพุทธรูปสำริดและพระพุทธรูปแก้วมณีที่มีค่ารวมทั้งเครื่องถนิมทิพพาภรณ์ของพระมหากษัตริย์ที่ถอดถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งก็มีทั้งแก้วแหวนเงินทองรัตนชาติอัญมณีที่มีค่ามากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดภายในพระอุโบสถนี้ก็คือพระแก้วมรกต ซึ่งสร้างขึ้นด้วยมรกตชิ้นเดียว แต่องค์เล็กกว่าพระแก้วมรกตของไทย รูปองค์สร้างเหมือนกันคือประดิษฐานอยู่ภายใต้มณฑปทองคำ และเครื่องทรงองค์พระเป็นทองคำล้วนประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่ และอัญมณีอันมีค่า
ที่หน้ามณฑปพระแก้วมรกตประดิษฐานพระพุทธรูปยืนทรงเครื่องปางห้ามญาติสร้างด้วยทองคำน้ำหนัก 90 Kg และประดับด้วยเพชรจำนวน 2,086 เม็ด เม็ดที่ใหญ่ที่สุดบนยอดมงกุฏขนาด 25 ม.ม. พระพุทธรูปนี้หล่อขึ้นในสมัยกษัตริย์สีสวาท ในปี ค.ศ.1904 โดยการตรัสสั่งไว้ของพระราชบิดาคือพระเจ้านโรดม หลังจากที่พระราชทานเพลิงศพของพระองค์แล้วให้หลอมพระโกศทองคำ หล่อเป็นพระศรีอริยเมตไตรทรงเครื่องต้นพระพุทธรูปองค์นี้จึงได้นามว่า “พระชินรังษีราชิกนโรดม”
นอกจากพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์นี้แล้วยังมีพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากศรีลังกาในปี ค.ศ.1956 โดยสมเด็จพระสังฆราช Lvea Em และมีพระพุทธรูปทองคำนาคปรก สร้างด้วยโดยสมเด็จพระราชินีนารีรัตน์ พระมารดาของเจ้านโรดมสีหนุในปี ค.ศ.1969
รอบกำแพงชั้นนอกของหอพระแก้วมรกตจะมีระเบียงแบบวิหารคตวัดพระแก้วในกรุงเทพฯ คือจะมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาฝนังที่สวยงามเล่าเรื่องรามเกียรติ์หรือภาษาเขมรเรียกว่า Reamke โดยออกญาเทพนิมิตรพร้อมด้วย 40 ศิลปินชาวเขมรช่วยกันเขียนภาพด้วยสีน้ำมันความยาว 642 เมตร ความสูง 3 เมตร เริ่มจากผนังด้านทิศใต้เรื่อยไปจนถึงผนังด้านทิศตะวันออก ซึ่งผู้เข้าชมจะต้องเดินชมภาพเหล่านี้ไปตามลำดับจนสุดกำแพง
ด้านทิศใต้ของหอพระแก้วก็จะมีปราสาทหินนครวัดจำลองตั้งไว้ให้คนชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเหมือนวัดพระแก้วในกรุงเทพฯ ทุกประการ นอกจากนี้แล้วในบริเวณวัดพระแก้วก็จะมีหอมณเฑียรธรรมที่ฟังธรรมของพระมหากษัตริย์อยู่ทางทิศใต้และสถูปที่บรรจุอัฐิของกษัตริย์นักองค์ด้วง และกษัตริย์นโรดม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเจ้านโรดมสีหนุในปัจจุบัน
มีหอพระบาทที่ประทับรอยของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ที่ตรัสรู้ไปแล้วคือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโณ กัสสโป และโคตโม อยู่ทางทิศตะวันออกของโบสถ์พระแก้ว
ส่วนทางด้านทิศตะวันตกเป็นหอระฆังสมัยก่อนใช้ให้สัญญาณระฆังเวลาพระสงฆ์เรียนบาลีที่วิหารคตและให้สัญญาณพระลงสวดมนต์และในพิธีสำคัญ ๆ ต่อมาได้ประดิษฐานรูปสำเริดโคนนทิ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป ในหอระฆังนี้ยังบรรจุตู้พระธรรมซึ่งมีพร้อมทั้งสามปิฎก คือพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม ทั้งหมดจารึกอยู่ในใบลานเก่าแก่บรรจุหีบห่อเก็บรักษาไว้อยางดี
เดิมชมวัดพระแก้วทุกซอกทุกมุมแล้วได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกจากนั้นเดินออกประตูด้านทิศตะวันออก จะพบต้นสาละลังกาต้นใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมตั้งแต่โคนต้นขึ้นไปถึงยอด ที่โคนต้นตั้งพระพุทธรูปหินแกะสลักปางนาคปรกประดิษฐานอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นสาละอย่างลงตัว และอีกด้านหนึ่งเป็นหอมณฑปประดิษฐรูปปั้นพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (จำลอง) แบบนั่งสมาธิด้วยพระพักตร์อิ่มบุญและเปียบด้วยปิติสุขจากสมาธิ
พวกเราเดินชมนิทรรศการเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของชาวเขมร การแต่งตัวในราชสำนักและสถาปัตยกรรมเขมรในยุคต่าง ๆ โดยใช้กำแพงวิหารคตด้านนอกของทิศตะวันออกจัดแสดงและอีกด้านเหนือเป็นร้านขายของที่ระลึกได้เข้าไปเดินชมเหมือนกันแต่ไม่ได้ซื้ออะไรนอกจากหนังสือประวัติพระราชวังจตุมุขมงคลที่น่าสนใจเพราะยังไม่เคยทราบประวัติของพระราชวังเขมรมาก่อน ก็เลยหยิบมาอ่านหาข้อมูลนำมาฝากท่านผู้อ่านด้วยประการฉะนี้ ฯ

Tuesday, March 21, 2006

Angkor Thom : นครธม มหานครหลวงของขอม






พระนครหลวง หรือ นครธม ของเขมร เป็นเมืองหลวงของขอมโบราณมานานนับแปดศตวรรษมาแล้ว ในเมืองนครธม มีปราสาทหินมากมาย แต่ที่สำคัญและเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวและนักโบราณคดี คือ ปราสาทบายน ที่มีใบหน้าพระโพธิสัตว์มีสี่หน้าแต่ละยอดปราสาท ๕๔ ปรางค์ รวม เป็น ๒๑๖ หน้า สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระหว่างปี พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๓
Angkor Thom, meaning a large city, was the capital of the ancient Khmer for over eight hundreds years. In Angor Thom, stone temple are plenty, but the outstanding one in the memory of tourists around the world is Bayon, the temple that has a lot of Avalokiteswara's faces around.

Angkor Wat มหาปราสาทนครวัด มฤตกเทวาลัยแห่งแดนขอม






ท่องนครศิลา มหาปราสาท นครวัด นครธม แห่งดินแดนขอม
นครวัดไม่ใช่เป็นพียงสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสูงส่งเลิศเลอในบรรดาปราสาทขอมทั้งหมดเท่านั้น มันยังเป็นเมืองในตัวของมันเองด้วย นั่นคือมีฐานะเป็นทั้งเมืองหลวง และศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่สร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพสูงสุดที่พระองค์นับถือ
The Angkor Wat is not only the largest, high and elegant construction of all the Khmer temples. It is in itself a city that is, it served as the capital and as the religious place in the reign of King Suryavarman II who had it built in dedicaton ot the Vishnu God.